นิวเคลียร์ฟิวชัน: โครงการก่อสร้างไฟฟ้าแห่งแรกของโลก
นิวเคลียร์ฟิวชัน: โครงการก่อสร้างไฟฟ้าแห่งแรกของโลก
นิวเคลียร์ฟิวชัน (Nuclear Fusion) เป็นการแปลงพลังงานจากการเชื่อมต่อแห่งอนุภาคเชิงรังสีให้เกิดการแลกเปลี่ยนอนุภาคในระดับต่ำกว่า เป็นการแตกตัวทางนิวเคลียร์ (Nuclear Fission) ที่ทรงพลังกว่าจากนั้น และมีพลังงานออกมาสูงถึงหลักนพ. (Mega Electron Volt) ในขณะที่นิวเคลียร์ฟิวชันนั้นมีพลังงานออกมาแค่หน่วยเมกะเจอร์ (Mega Joule) เท่านั้นหากเทียบกัน
โครงการนิวเคลียร์ฟิวชันถือเป็นโครงการก่อสร้างไฟฟ้าแห่งแรกของโลกที่ใช้พลังงานจากการนิวเคลียร์ฟิวชันเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้า โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันนวัตกรรมด้านพลังงานในด้านนี้และสร้างความคาดหวังว่าจะช่วยลดปัญหาพลังงานและประเทศไทยจะเป็นผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาคในอนาคต
โครงการก่อสร้างนี้ได้ถูกเริ่มต้นขึ้นในปีพ.ศ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันเพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้า
แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้ได้พบว่านิวเคลียร์ฟิวส์ชันนั้นเป็นเรื่องที่ยังถูกพัฒนาอยู่ และยังอยู่ในขั้นตอนวิจัยเปิดเผยสู่สาธารณะ ซึ่งการพัฒนานี้จำเป็นต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากมาย ทั้งเวลาวิจัย และเงินทุน
ในปัจจุบันโครงการนิวเคลียร์ฟิวชันได้มีการชิงเข้าร่วมกับทุนจากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นการเร่งความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชัน
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็ได้มีการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานด้วยความร่วมมือกับชาวบ้านทั้งภาคเหนือและใต้ของประเทศ ด้วยการใช้พลังงานจากอากาศ และการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้งานประจำบ้านและการขนส่ง
นิวเคลียร์ฟิวชันนั้นถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์หลักที่เป็นการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูงกว่าวิธีการนิวเคลียร์อื่นๆ ต้องการตรวจสอบและการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
นิวเคลียร์ฟิวชันได้ถูกพัฒนาเพื่อเป็นแหล่งผลิตพลังงานสำหรับใช้ในอนาคตและช่วยแก้ปัญหาด้านพลังงานในทั่วโลก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ยังให้ความหวังได้ว่าจะช่วยแก้ปัญหาอุทกภัยและการเผาของเชื้อเพลิงและต้านทานการเติบโตของโลกร้อนี้ในอนาคตได้ภายใต้นโยบายการลดโลกร้อนของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น ควรสงวนความคาดหวังว่าโครงการนิวเคลียร์ฟิวชันนั้นจะเป็นโครงการที่จะได้รับการพัฒนาและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านพลังงานในอนาคตของบ้านเราและทั่วโลกให้สมบูรณ์แบบ และเป็นรากฐานของการทำงานไฟฟ้าในอนาคตของประเทศไทยด้วย