8 วิธี ตั้งชื่อบริษัทเท่ๆ ให้โดนใจลูกค้า
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ เดี๋ยวนี้น่าจะมีการให้คำแนะนำว่า ต้องตั้งชื่อบริษัทให้ดูเท่ๆ และโดนใจลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจของคุณได้รับความนิยมและมีการตอบรับจากตลาดได้อย่างดี แต่ละวันนี้มีบริษัทเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีทั้งรูปแบบที่ดี และรูปแบบที่ไม่ดี โดยเฉพาะแหล่งข่าว, จดหมายข่าว เว็บไซต์ธุรกิจ และอินสตาแกรม นั่นเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญที่จะตั้งชื่อบริษัทอย่างต่อเนื่องให้ดีและตอบสนองความต้องการของใครบางคนเพื่อให้เอาชนะคู่แข่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นวันนี้เราได้จัดทำบทความนี้ขึ้นมาเพื่อแนะนำวิธีตั้งชื่อบริษัทให้เท่ๆ และโดนใจลูกค้า สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีในการตั้งชื่อธุรกิจ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถนำไปใช้ได้เลย!
1. คำนำหน้าแต่ละประเภท
ในการตั้งชื่อบริษัท วิธีที่ง่ายมากสำหรับการเริ่มต้นคือการเลือกคำนำหน้าอย่างดี อย่างไรก็ตามในการเลือกคำนำหน้า คุณควรคำนึงถึงความเกี่ยวข้องของประเภทธุรกิจและประสบการณ์หรือที่มาของธุรกิจ เพื่อให้คุณเลือกคำนำหน้าที่เหมาะสมและที่จะดึงดูดความสนใจของแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้
ตัวอย่างเช่นสำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุน คำนำหน้า “INVEST” อาจจะเข้ากับธุรกิจนี้ หรือ “ECO” เหมาะสำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม และถ้าคุณกำลังจะเริ่มต้นธุรกิจส่วนบุคคล คำนำหน้า “MY” อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีก็ได้
2. ขีดเขียนเพื่อความชัดเจน
ขั้นตอนต่อไปคือการคำนวณตามนัยสำคัญตามประเภทของธุรกิจของคุณ ถ้าธุรกิจของคุณเป็นสิ่งของ คุณยังต้องระบุว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นอะไร หรือกระแสที่คุณตกลงได้ไหม แต่ถ้าธุรกิจของคุณเป็นบริการ คุณจะต้องระบุถึงจุดเด่นของบริการหรือผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
แนะนำให้ไม่ควรเชื่อราคาเท่านั้น คุณควรคำนึงถึงสิ่งที่คุณสามารถให้ลูกค้าได้ที่ต่างจากแบรนด์อื่น ๆ อย่างชัดเจนมากขึ้น
3. ประสิทธิภาพสูง
ชื่อบริษัทของคุณควรเป็นชื่อที่มีความหมายและอัตราความสำเร็จ หรืออย่างน้อยก็ตรงกับเลเบลของห้องอ่านก็ได้ กรุณาหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อที่มีความสมบูรณ์แบบและตรงกับสิ่งที่เรียกว่า “buzzword” เช่น “synergistic” หรือ “value-added” ซึ่งอาจจะดูเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ แต่มันยังไม่มีความหมายที่รู้ใจ และอาจเป็นเพียงคำที่จดจำได้ยาก
อย่างไรก็ตาม คุณควรใช้ชื่อที่ทำให้ผู้ใช้งานได้เห็นประโยชน์ที่ทำให้นับถือและมั่นใจในการเลือกสิ่งนี้ ยกตัวอย่างเช่น “Amazon” มีส่วนในการสร้างความคิดจากคำว่า “Amazing” ซึ่งมีความหมายเท่ากับ “ให้เลิศ” ไม่มีใครสามารถไม่รู้จัก Amazon เท่านั้น
4. ภาษาที่ใช้
การตั้งชื่อที่เหมาะสมกับภาษาและวัฒนธรรมควรได้รับความสำคัญมากกว่าการคิดอย่างเท่าเทียมในทุก ๆ นามสกุล ถ้าคุณกำลังจะเริ่มต้นธุรกิจแบบสากล หรือมุ่งหวังที่จะขยายออกไปในตลาดสากลในอนาคต คุณควรคิดในการตั้งชื่อที่ใช้ได้ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ ถ้าชื่อธุรกิจของคุณผสมผสานกับภาษาที่มากกว่าหนึ่งภาษา คุณควรตรวจสอบความสามารถของชื่อที่คุณกำลังตั้งกับภาษาและวัฒนธรรมอื่น ๆ
หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อธุรกิจที่มีความหมายด้านลบ หรือโดนล้างค่าอย่างไม่จำเป็น เช่น “ฆ่าคน” หรือ “โกหก” ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณ แม้ว่าชื่อว่าจะดูแปลกตาชนิดหนึ่ง แต่คุณควรคำนึงถึงการใช้ชื่อที่มีความสำคัญและส่งความหมายที่เป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจของคุณ
5. ย้อนกลับไปอยู่ข้างหน้า
ชื่อที่สมบูรณ์แบบเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่าโดยปกติผู้ใช้จะพิมพ์แค่คำค้นหาเพื่อค้นหาธุรกิจของคุณ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือให้ชื่อของคุณมาเพียงเล็กน้อย โดยดูจากบริษัทชั้นนำอย่าง Apple และ Nike ที่คุณสามารถระบุง่ายๆ เพียงเลขสองสัปดาห์ก็ได้! จดจำว่าโดยปกติผู้ใช้จะไม่รู้ชื่อของผู้ผลิตแต่เพียงแค่ชื่อหรือสิ่งที่ต้องการซื้อ ดังนั้นการใช้นามสกุลอย่างเท่าเทียมไม่จำเป็นต้องมากนัก
6. ทดสอบจริง
การทดสอบชื่อยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะมันจะช่วยให้คุณเห็นว่าชื่อบริษัทที่คุณตั้งถูกต้องหรือไม่ คุณควรอ่านชื่อเอาไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่นการใช้ชื่อบนหน้าแรกของเว็บไซต์ ให้เพื่อนหรือผู้รู้จักมาตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่ในกรณีที่คุณใช้ชื่อบริษัทของคุณไปในตลาดเป้าหมายที่เน้นอย่างมาก เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าชื่อของคุณไม่ฝังตัวในเนื้อหาหรือบริบทที่ไม่เหมาะสม
7. ความคิดน่าสนใจ
การคิดไอเดียที่น่าสนใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การตั้งชื่อที่ไม่ซ้ำซ้อนและไม่หมู่หลวงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก และต้องเตรียมตัวเต็มที่โดยคิดค้นชื่อบริษัทที่น่าสนใจ แต่ไม่ยากเกินไปในระดับสูงพอที่สุดเช่น “Google” หรือ “Netflix” ที่จัดอยู่ในประเภทนี้ ดังนั้นคุณควรทำความเข้าใจลูกค้าในความใส่ใจของคุณ
8. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ไม่ควรใช้ชื่อที่เหมือนกับโรงเรียน, สถานที่สำคัญ,หรือชื่อแบรนด์ที่โดนละเมิดลิขสิทธิ์ ข้อสังเกตอื่น ๆ เช่น ชื่อซึ่งยังไม่ได้ยืนยันตัวตนของตัวเองเสียก่อน คำอธิบายที่คล้ายคลึงกันนั้นอาจกลายเป็นปัญหาขนาดใหญ่ในอนาคต
เช่นเดียวกับการเลือกชื่อสินค้า การตั้งชื่อบริษัทหรือแบรนด์ของคุณเป็นเรื่องซับซ้อนที่ใช้เวลามากในการจัดระเบียบให้ดีและทันสมัย เป็นสิ่งที่ต้องซึมซับซึมเรื่องราวและเหตุผลที่มาพร้อมกับธุรกิจของคุณ ให้แต่ละตัวเสนอสิ่งที่เป็นไปในทิศทางที่จะตอบโจทย์ในการตลาดของคุณ
นี่คือ